การออกกำลังกายถือเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการที่จะมีสุขภาพที่ดี นอกจากการทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ หรือผักผ่อนให้เพียงพอแล้ว การออกกำลังกายเป็นที่นิยมของคนทีรักสุขภาพ ต้องการให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ การออกกำลังกายมีให้เลือกได้หลายรูปแบบ เช่น การออกกำลังกายกลางแจ้ง และการออกกำลังกายในร่ม ให้ได้เลือกตามความชอบ หรือ ความสะดวกของแต่ละคน เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา และ สถานที่ที่ต่างกัน หลายคนเลือกที่จะไปออกกำลังกายตามฟิตเนส หรือบางคนเลือกที่จะไปออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือบางคนเลือกที่จะซื้อเครื่องออกกำลังกายมาไว้ที่บ้าน เพื่อความสะดวกในการออกกำลังกาย จะฝนตก รถติดก็ยังสามารถที่จะออกกำลังกายได้ทุกสถานการณ์ และยังสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเข้าฟิตเนสในแต่ละวันอีกด้วย เครื่องออกกำลังกายในร่มที่จะทำให้ได้ออกกำลังกายอย่างมีความสุขในพื้นที่ส่วนตัวก็คือ ลู่วิ่งไฟฟ้า ลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิคที่ใช้เพื่อวิ่งออกกำลังกาย

ลู่วิ่ง เครื่องออกกำลังกายสำหรับคนที่รักสุขภาพ

ส่วนใหญ่เราจะเห็นลู่วิ่งไฟฟ้าตามสถานที่ออกกำลัง หรือฟิตเนส แต่ปัจจุบันเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ผู้ที่รักสุขภาพ บางท่านต้องการซื้อลู่วิ่ง มาใช้ที่บ้าน เพื่อความเป็นส่วนตัว สะดวกแถมยังประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายได้อีกด้วยค่ะ ก่อนการเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า เราควรจะศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน ฟังชั่นต่าง ๆ รวมไปจนถึงราคา เป็นราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เพื่อมาตอบโจทย์ในเรื่องการออกกำลังกายได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

ประโยชน์ของลู่วิ่งไฟฟ้า

– ได้ออกกำลังกายในบ้าน เหมาะกับคนที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว
– ให้ความสะดวกสบาย ใช้งานง่ายและรวดเร็ว
– สามารถออกกำลังกายในวันหยุดกับคนในครอบครัว สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว
– ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปฟิตเนส ซึ่งบ้านเราอาจจะอยู่ไกล
– ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น ค่าน้ำมันรถ
– ได้สุขภาพที่ดี แน่นอนว่าสุขภาพหาซื้อไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเราเอง

ลู่วิ่งออกกำลังกายเป็นเครื่องออกกำลังกายเบื้องต้นที่ใคร ๆ มักจะนึกถึง เพราะความสะดวก และสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ง่าย ๆ เพียงแค่วิ่งตามโปรแกรมเท่านั้น

การออกกำลังกายถือเป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการที่จะมีสุขภาพที่ดี ลู่วิ่งไฟฟ้าถือว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการออกกำลังกาย บางท่านมีข้อจำกัดในเรื่องเวลาและสถานที่ ลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี การออกกำลังกายด้วย ลู่วิ่งไฟฟ้า นอกจากที่จะช่วยทำให้ร่างกายเราแข็งแรงและสลายไขมันส่วนเกิน มันยังช่วยเผาผลาญพลังงานให้กับเราอีกด้วยโดยถ้าเราวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า 1 ชั่วโมงจะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 400-600 แคลอรี่ และยังทำให้หัวใจของเราแข็งแรง

การใช้ลู่วิ่งเป็นวิธีการออกกำลังกายที่สะดวกก็จริง แต่ก็อย่าลืมนะคะว่าไม่ว่าอย่างไร การออกกำลังกายนอกบ้านก็ให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่า นอกจากจะทำให้เราได้ออกกำลังกายอย่างเต็มที่มากขึ้นแล้ว ก็ยังช่วยทำให้เราผ่อนคลายและได้พบปะกับผู้คนอีกด้วย ยังไงก็ควรไปวิ่งนอกบ้านสลับกับการใช้ลู่วิ่งนะคะ

โกโก้ ทำมาจาก เมล็ดของต้นกาเกา (Cacao) ซึ่งเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากแถบอเมริกาใต้ เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับทำช็อกโกแลต เมนูของหวานอันเลื่องชื่อที่ได้รับความนิยมไปทั่วทั้งโลก โกโก้ที่เป็นเมล็ด จำเป็นต้องนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปออกมาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ

ผงโกโก้ สีน้ำตาล ๆ ที่เอาไว้ทำขนมช็อคโกแลต หลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นเจ้าผงโกโก้กันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนที่ชอบอบขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ เพราะผงโกโก้เป็นส่วนผสมที่สำคัญมากในการทำเมนูช็อกโกแลตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขนมเค้กช็อกโกแลต คุกกี้ บราวนี่ และโดยเฉพาะเครื่องดื่มโกโก้ร้อน หรือที่เรียกกันว่า Hot Chocolate ก็เป็นเครื่องดื่มอีกหนึ่งตัวที่ได้รับความนิยมสูง แต่ทุกคนอาจจะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ผงโกโก้ นั้นมีที่มาอย่างไร ทำไมถึงมีความสำคัญต่อทั้งเครื่องดื่มและขนมขนาดนั้น ผงโกโก้ มีความสำคัญมาก ถ้าใช้ผงโกโก้ผิดประเภท หรือใช้ผงโกโก้ที่ไม่มีคุณภาพ ทั้งเครื่องดื่มและขนมที่ทำออกมาจะมีรสชาติที่แย่กว่าอย่างเห็นได้ชัด แล้วเราจะเลือกซื้อผงโกโก้กันอย่างไรดี

ผงโกโก้ ได้มาจากการที่ไขมัน หรือเรียกอีกอย่างว่า เนยโกโก้ ถูกขจัดออกไปจากเมล็ดโกโก้ทั้งหมด จนเหลือเพียงแต่เมล็ดแห้ง ๆ จากนั้นจึงนำเมล็ดไปบดละเอียดจนกลายมาเป็น ผงโกโก้ ผงโกโก้ยังถูกจัดออกเป็น 2 ชนิดด้วยกันคือ แบบธรรมชาติและแบบดัตช์ ซึ่งขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต โดยผงโกโก้ทั้งสองแบบนี้ ก็จะมีความแตกต่างกัน ไปดูลักษณะของผงในแต่ละแบบกัน

แบบธรรมชาติ : จะผลิตด้วยกระบวนการ Broma ซึ่งเป็นการห้อยถุงที่บรรจุเมล็ดโกโก้ไว้ในห้องที่มีอุณหูภูมิสูงเหนือจุดหลอมเหลวของเนยโกโก้ ด้วยความร้อนนี่เองก็จะทำให้เนยโกโก้หยดไหลลงมาจนหมด กลายเป็นเมล็ดโกโก้แบบแห้ง ๆ แล้วจากนั้นจึงนำไปบดละเอียดต่อไป ซึ่งด้วยวิธีการแบบนี้ จะทำให้ได้ผงโกโก้มีระดับค่า pH ระหว่าง 5.3 ถึง 5.8 ซึ่งมีความเป็นกรดอยู่ ความเป็นกรดนี่เองจะส่งผลให้รสชาติของช็อกโกแลตมีความเด่นชัด และเมื่อนำไปทำพวกขนมเค้ก คุกกี้ต่าง ๆ ตัวขนมก็จะยกตัวสูง ดูเบา ไม่มีฟองอากาศ สวยงามน่าทาน

แบบดัตช์ : เป็นการใช้กระบวนการของ Alkaline Solution โดยนำเมล็ดโกโก้ที่ได้ไปเพิ่มค่าความเป็นด่าง ทำให้ได้ผงโกโก้ที่มีค่า pH อยู่ระหว่าง 6.8 ถึง 8.1 ซึ่งค่าความเป็นด่าง ทำให้รสชาติของโกโก้มีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น และผงโกโก้เองก็มีสีน้ำตาลเข้มสวยมาก แต่ถ้านำผงโกโก้แบบดัตช์ไปใช้ทำขนมเค้ก จะไม่ช่วยในเรื่องของความฟูสูงเท่าไร ไม่เหมือนกับผงโกโก้แบบธรรมชาติ

ถ้าถามว่าผงโกโก้ทั้งสองแบบนี้ แบบไหนดีกว่ากัน ก็คงจะตอบยากเหมือนกัน เพราะคนเรามีความชอบที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถฟันธงได้ว่า ผงโกโก้แบบไหนจะดีที่สุด แต่ถ้าอยากได้รสชาติของโกโก้ที่เข้มข้นและกลมกล่อม ส่วนใหญ่จากงานวิจัยจะบอกว่า แบบดัตช์จะดีกว่าแบบธรรมชาติ แต่ถ้าชอบรสชาติที่บางเบากว่า ให้เลือกโกโก้แบบธรรมชาติ